เกี่ยวกับฉัน

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

ไขปริศนา “แอตแลนติส” นครที่สาบสูญ


นักวิจัยสหรัฐเปิดเผยว่าได้ค้นพบ “แอตแลนติส” เมืองแห่งอารยธรรมที่หายไปในห้วงทะเลลึกแถบไซปรัส พร้อมทั้งโชว์ทฤษฎีการสำรวจที่น่าพิศวงมากว่าทศวรรษแต่นักฟิสิกส์เยอรมันแย้งพื้นที่บริเวณนั้นภูเขาไฟเคยพ่นหินละลายเมื่อ 1 แสนปีก่อน หาใช่เมืองแห่งเพลโตไม่ ..........โรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) เปิดเผยว่า แอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) ได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อoคริตศักราช ทำให้บริเวณที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของ “แอตแลนติส” (Atlantis) จมหายลงไปในคราวนั้น เชื่อว่าจมลึกลงไปถึง 1 ไมล์หรือประมาณ 1.6 กิโลเมตรใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria)..........”พวกเราพบมันแล้ว” ซาร์แมสต์ ผู้นำคณะสำรวจที่ซอกแซกไปในทะเลกว่า 50 ไมล์ตามแถบชายฝั่งตอนใต้ของไซปรัสเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึกแสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำ รวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย โดยเชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนตีส อย่างไรก็ดีคงต้องมีการสำรวจต่อๆ ไปอีก


..........”พวกเราไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้มาพิสูจน์ในรูปแบบของเศษอิฐหรือปูนว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้นที่ฝังอยู่ในตะกอนใต้น้ำลึกลงไปหลายเมตร แต่ว่าจากการสำรวจอย่างละเอียดและหลักฐานอื่นๆ ทำให้เชื่ออย่างแย้งไม่ได้ว่าแอนแลนติสน่าจะอยู่ตรงนั้น” ซาร์แมสต์ เผยอย่างไรก็ดี ขณะที่ซาร์แมสต์ได้เปิดเผยข้อค้นพบต่อสาธารณชน ณ เมืองท่าลิมาสโซล (Limassol) เขายังได้นำภาพเคลื่อนไหวจำลอง “เนิน” ที่เชื่อว่าเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยจินตนาการภาพย้อนหลังไปหลายศตวรรษ ..........ตามคำกล่าวอ้างของ “เพลโต” (Plato) ปราชญ์ชาวกรีกโบราณ ระบุว่า แอตแลนตีสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะ ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก อยู่ในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ส่วนทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงเหตุผลแห่งการหายไปของอาณาจักรแอตแลนตีสนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเกิดกลียุค ด้วยโรคภัยจากธรรมชาติคุกคาม หรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนตีสมีความละโมบและกระหายอำนาจเข้าครอบนำเทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่า แอตแลนติสที่แท้จริงอาจจะเป็นแค่เพียงภาพฝันของเพลโตก็เป็นได้


..........ซาร์แมสต์ เปิดเผยว่า เขาเดินทางไปไซปรัสตามร่องรอยในบทสนทนาของเพลโต ที่อ้างว่าแอตแลนตีสอยู่ตรงข้ามกับ พิลาร์ส ออฟ เฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) หรือ “เสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส” ซึ่งเชื่อกันว่านั่นก็คือ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” (Straits of Gibraltar) นั่นเอง จึงทำให้นักสำรวจหลายๆ คนมุ่งความสนใจไปที่มหาสมุทรแอตแลนติก ไอร์แลนด์ หรืออะซอเรส (Azores) ของโปรตุเกส ..........”ผู้คนที่พลาดสิ่งเหล่านี้ไป นั่นก็เพราะไม่ได้ทำการบ้านให้ถ่องแท้ ผู้ที่สงสัยใคร่รู้เรื่องนี้ต่างรู้ไม่จริง ถ้าต้องการที่จะเข้าใจปริศนาลึกลับแห่งแอตแลนติก คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณ ข้ออ้างอิงทางศาสนา วัฒนธรรมและร่องรอยของชาวสุเมเรียน (Sumerian)” ซาร์แมสต์เผย และยังไม่ทันที่ซาร์แมสต์จะกลับไปฝันหวานกับข้อค้นพบของเขา “คริสเตียน ฮูบเชอร์” (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน จากศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลและบรรยากาศ ในฮัมบรูก ก็ออกมาแย้งผ่านหนังสือพิมพ์เยอรมนีว่า พื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 100,00 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา ซึ่งเขาและเพื่อนร่วมงานชาวเนเธอร์แลนด์เคยเดินเรือไปสำรวจบริเวณที่ซาร์แมสต์ระบุว่าเป็นแอตแลนตีสมาก่อนแล้ว..........ก่อนหน้านี้ได้มีความพยายามเกาะรอยคำกล่าวของเพลโตเช่นกัน โดยนักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้นแม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณอุทยานแห่งชาติดอนานาของเสปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือ วิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนตีส อย่างไรก็ดี หลังจากการเผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมออกไป ก็ยังไม่มีใครได้ลองดำลึกลงไปขุดพิสูจน์พื้นที่ดังกล่าวแต่อย่างใด

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2552

นิสิตสามารถเขียน object ของหมาแมวได้หรือไม่...


ยกตัวอย่างของ สุนัข

สถานะ[Variables,states] : - มีชื่อ คือ ป๋องแป๋ง
- มีสีคือสีแดง

นิสัย พฤติกรรม [Methods behaviors]: - ชอบนอน
- ซื่อสัตย์
- กินจุ
- วิ่งเร็ว

Object Oriented Programming


ภาพจาก http://www.voidspace.org.uk/

Object Oriented Programming


เป็นการเขียนโปรแกรมโดยการมองสิ่งต่างๆ เป็นวัตถุ ซึ่งใน Real-world สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราก็เป็นวัตถุ โดยมีแนวคิดที่ว่า สิ่งที่ประกอบกันเป็นวัตถุนั้นจะประกอบไปด้วย
Attribute(ลักษณะที่สามารถอธิบายได้ว่าวัตถุนี้คืออะไร อย่างเช่น คนสิ่งที่อธิบายได้ว่าเป็นคน อาจจะเป็น มีหู ตา จมูก ปาก แขน ขา อะไรพวกนี้)
Method(พฤติกรรมของวัตถุนั้นว่าสามารถทำอะไรได้ พูดง่ายๆ การกระทำนั่นแหละ)
เราสามารถทำการ Implement ได้โดยการทำให้อยู่ในรูปของ Class ซึ่งเปรียบเหมือนกับต้นแบบที่ไว้ สร้าง Object (Class ไม่ใช่ object) คุณสมบัติที่สำคัญของ OOP ก็คือ


1. Encapsulation
เป็นการห่อหุ้ม Attribute ไว้ด้วย Method หมายความว่าการที่เราต้องการเข้าไป เปลี่ยนแปลงหรือใช้ค่า Attribute นั้นต้องกระทำผ่าน Method ยกตัวอย่างเช่นเด็กหญิงนิดกับเด็กหญิงหน่อยเป็นเพื่อนกัน มีอยู่วันหนึ่งนิดเดินเหยียบเท้าหน่อย หน่อยรู้สึกไม่พอใจ (ตอนนี้ค่า Attribute อารมณ์ของหน่อยเพิ่มขึ้น) แต่นิดยังไม่รู้ เมื่อหน่อยแสดงสีหน้าไม่พอใจ เมื่อนิดเห็นแบบนั้นนิดรู้สึกผิด(หน่อยก็ยังไม่รู้เพราะ นิดคิดอยู่ในใจ) จึงกล่าวขอโทษ หน่อยได้ยินแบบนั้นจึงหายโกรธ

ตัวหนา คือ Method
ตัวหนาเอียง คือ Attribute


จะเห็นได้ว่าค่า Attribute นั้นก็คือค่าที่อยู่ภายในการที่จะให้ Object อื่นรับรู้ได้ก็จำเป็นที่จะ ต้องแสดงค่านั้นออกมาผ่านทาง Method สิ่งที่ส่งออกมาให้ Object อื่นรับรู้นั้นเราเรียกว่า Message จากตัวอย่างจะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่า Atrribute ตอนที่นิดเหยียบเท้าหน่อยนั้น การเหยียบเท้าคือ Method ที่แสดงออกมาทำให้อารมณ์ ซึ่งเป็น Attribute อยู่ภายในเปลี่ยนแปลง และ การกล่าวขอโทษก็เป็น Method ที่ทำการเปลี่ยนแปลงค่า Attribute ดังนั้นภาพของ Object ในหัวก็จะเป็นลักษณะที่ Method ห่อหุ้ม Attribute ไว้ วัตถุทุกตัวจะแสดงออกให้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในหรือสิ่งที่ต้องการผ่านทางการกระทำ


2. Inheritance
เป็นการทำให้ Class สามารถสืบทอดต่อกันได้ โดยลักษณะของการสืบทอดนั้นก็เพื่อเพิ่มเติมความสามารถให้สามารถทำงานได้มากกว่าคลาสแม่ที่สืบทอดมา เช่น คลาสของคนสืบทอดมาจากคลาสของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยที่ Method พื้นฐานของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้น สมมุติให้มีเพียง กินอาหาร สืบพันธุ์ ขับถ่าย Class ของคนที่สืบทอดมาจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สิ่งที่คนทำได้แตกต่าง เช่น การพูด ก็จะถูกเพิ่มเข้าไปในคลาสของคน สรุปว่าคนสามารถ กิน,สืบพันธุ์,ขับถ่าย และ พูด ได้


3. Abstraction
เป็นการสร้าง Method แบบลอยๆ ขึ้นมายังไม่ได้ระบุรายละเอียดว่า Method นั้น ทำงานอย่างไรจะมีการระบุการทำงานในส่วนของ Subclass ที่รับสืบทอดมา สาเหตุที่มีการทำแบบนี้ก็เพื่อให้สามารถใช้ Polymorphism ได้นั่นเอง


4. Polymorphism
คือสภาวะที่ Method มีหลายรูปแบบ เป็นวิธีการกำหนดรูปแบบการกระทำที่เหมือนกันแต่ได้ผลที่แตกต่างกัน สมมุติว่ามี คลาสแม่(Superclass) ที่เป็นคลาสของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีคลาสลูก(Subclass) คือ คลาสของคนกับสุนัข ซึ่งทั้งคนกับสุนัขมี Method ที่ใช้ในการเปล่งเสียงซึ่งการเปล่งเสียงระหว่างคนกับสุนัขนั้นไม่เหมือนกันแต่มันก็คือการเปล่งเสียง ดังนั้นเมื่อได้รับ Message ที่บอกให้ทำการเปล่งเสียงทั้งคนและสุนัขก็สามารถเปล่งเสียงได้เพียงแต่มีเสียงที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง เพื่อให้สามารถเข้าใจได้ง่ายเราก็จะสร้าง Method ที่ชื่อว่า เปล่งเสียง( ) มาเพียงชื่อเดียวแล้วใช้หลักการ polymorphism นี้เพื่อให้สามารถเปล่งเสียงได้หลายๆ รูปแบบ

บทความจาก :: http://thitipat.wordpress.com/2007/02/04/object-oriented-programming-oop/

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

กำลังใจดีๆ

ไม่มีใครเกิดมาไร้ค่า แม้แต่คนโง่ที่สุดยังฉลาดในบางเรื่อง และคนฉลาดที่สุด ก็ยังโง่ในหลายเรื่อง
.. ไม่มีอะไรเสียเวลาไปมากกว่า การคิดที่จะย้อนกลับไปแก้ไขอดีต
.. ไม่เคยมีอะไรช้าเกินไป ที่จะทำให้สิ่งที่ตนฝัน ..
.. คนที่ไม่เคยหิว ย่อมไม่ซาบซึ้งรสของความอิ่ม..
.. ความสำเร็จที่ผ่านความล้มเหลว ย่อมหอมหวานกว่าเดิม ..
.. อันตรายที่สุดของชีวิตคนเราคือ การคาดหวัง..
.. อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่..

เหตุผลของคนๆ หนึ่ง
อาจไม่ใช่เหตุผลของคนอีกคนนึง
ถ้าคุณไม่ลองก้าว คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า ทางข้างหน้าเป็นอย่างไร

ปัญหาทุกอย่างล้วนอยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง ..
.. คนเรา ไม่ต้องเก่งไปทุกอย่าง แต่จงสนุกกับงานทุกชิ้น ที่ได้ทำ ..
หัวใจของการเดินทางไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย หากอยู่ที่ประสบการณ์สองข้างทาง .. มากกว่า